Friday, June 22, 2007
โลกของเจ้าตัวเล็ก (6) ทันการณ์
ทันการณ์
ในที่สุด เจ้าถ่านหุงข้าวก็ครอบครองบ้านของสองสามีภรรยาได้สำเร็จก่อนเจ้าซีเซ็กฉ่าย พี่เครากับน้องนวลไม่รู้จะเอามันไปไหนดี หรืออีกด้านหนึ่ง มันก็ช่างเป็นแมวที่เรียกร้อง “สิทธิวิฬารชน” อะไรจะปานนั้น เพราะไม่ว่าน้องนวลจะเดินไปไหนมาไหน มันก็จะต้องไต่ถาม ต่อว่า ทักท้วง ตำหนิ วิจารณ์ ซึ่งอันหลังสุดนี้พี่เคราเรียกว่า การด่าทอ วิธีการทำสิ่งทั้งหมดที่ได้กล่าวมาของเจ้าถ่านหุงข้าวก็คือ ส่งเสียงร้องด้วยนัยน์ตาอันเป็นประกายทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของคน
“พูดมาก อย่าพูดมาก” น้องนวลว่ามัน มันก็โต้กลับทันที
“แม้ว”
น้องนวลพูดต่อ “ยังจะมาพูดมากอีก แกนี่..”
“แม้ว”
“เออ..มันพูดได้จริง ๆด้วย นะพี่เครานะ”น้องนวลหันไปบอกสามี
“แม้ว” ถ่านหุงข้าวพูดต่อ
เจ้าถ่านหุงข้าวจึงเป็นความบันเทิงเริงรมย์อย่างหนึ่งในชีวิตสองสามีภรรยา
ซีเซ็กฉ่ายเริ่มทุรนทุราย มันมองว่าน้องนวลกับพี่เคราเป็นของมัน แต่จู่ ๆวันหนึ่ง ก็มีก้อนอะไรก็ไม่รู้ดำแสนดำมายึดถือครอบครอง ซ้ำยังเป็นก้อนที่วิ่งไปไหนมาไหนได้รวดเร็ว ซ้ำร้ายยังอยู่ในระดับสูงเหนือหัวมันเสียอีก อาการโกรธแค้นจึงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เจ้าถ่านหุงข้าวออกมาเฉิดฉายนอกบ้าน ซีเซ็กฉ่ายไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้ หากต้องวิ่งวนไปวนมาและส่งเสียงครวญครางปางตาย จนบางครั้งพี่เคราต้องเอาอะไรเขวี้ยงแก้กลุ้ม
เจ้าถ่านหุงข้าวรังเกียจซีเซ็กฉ่ายก็จริง แต่มันก็รู้ดีว่า นี่คือหมาประจำบ้าน สิ่งหนึ่งที่มันทำเสมอ ๆ คือการเดินเฉิดฉายหรือไม่ก็นั่งหรือไม่ก็นอนอยู่บนขอบรั้ว โดยมีซีเซ็กฉ่ายนั่งร้อง แฮ่ ๆ ฮ่า ๆ ไปตามอารมณ์อยู่ด้านล่าง แต่ถ้าหากมีหมานอกบ้านผ่านมา แมวกับหมาประจำบ้านก็จะร่วมมือกันกรรโชกหมาภายนอกทันที ในทำนองเดียวกัน หากมีแมวภายนอกเผอิญหลงมา หมาแมวประจำบ้านคู่นี้ก็จะโฮกฮากกระชากเสียงเข้าใส่ทันที เป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่พอไม่มีตัวอื่นก็ต้องหันมากระโชกโฮกฮากใส่กันเองแบบเบา ๆ
วันหนึ่ง การสมานฉันท์ระหว่างศัตรูก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าซีเซ็กฉ่ายเจออะไรบางอย่างในกอหญ้า มันเริ่มด้วยการเห็นความเคลื่อนไหวของใบหญ้า และเห็นขายาว ๆของตัวอะไรที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แรกทีเดียวมันเอียงคอเห่า หันไปมองน้องนวลที่กำลังทำกับข้าว แล้วก็เห่าอีก เห่าแล้ว มองหาพี่เคราก็ไม่เห็นเพราะพี่เคราออกไปข้างนอก มันจึงไม่รู้จะพึ่งใคร เห่าอีก เห่าอีกเห่าแล้ว จนเจ้าถ่านหุงข้าวนั่งอยู่บนขอบรั้ว พลอยสนใจไปด้วยเพราะเห็นอะไรที่วอบแวบและหูก็ได้ยินเสียงดัง
กร็อบแกร็บเช่นกัน
เจ้าถ่านหุงข้าวเขม้นมอง
เจ้าซีเซ็กฉ่ายถอยหลังเห่า “ฮื่อ ๆ ฮ่า ๆ”
เมื่อมองไปทางเจ้านายแล้วไม่ได้ผล ซีเซ็กฉ่ายจึงหันไปทางเจ้าถ่านหุงข้าวเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ ลืมไปแล้วว่าไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไร เจ้าถ่านหุงข้าวก็ลืมความขัดแย้งไปเช่นกัน เพราะสิ่งที่เห็นวอบแวบนั้นสำคัญกว่า
เจ้าซีเซ็กฉ่ายกระโชกแรง คู้ขาทั้งสองข้างลงพิจารณาสิ่งที่เห็นแล้วก็ออกแรงเห่าเป็นจังหวะสั้น ๆ ถ่านหุงข้าวสนใจเดินบนขอบกำแพงมามองจนใกล้ด้วย ซีเซ็กฉ่ายหันไปมองหน้าแมวเป็นเชิงขอให้มาช่วยกัน
ถ่านหุงข้าวตัดสินใจกระโดดลงมาร่วมวงไพบูลย์
“ฮื่อ..”
น้องนวลเปิดประตูครัวออกมาพอดีพร้อมส่งเสียง “เห่าอะไรหือ...ซีเซ็กฉ่าย”
ถ่านหุงข้าวกระโดดแผล็วขึ้นไปบนขอบรั้วตามเดิม น้องนวลมองตามความเคลื่อนไหวนั้นและคิดเอาเองตามที่ตาเห็นว่า หมากำลังเห่าแมว
“ปัทโธ่เอ๊ย...นึกว่าเห่าใคร นี่มันก็เจ้าถ่านหุงข้าวนั่นแหละ เมื่อไหร่แกจะเลิกเห่าเสียทีฮึ..”
น้องนวลเดินไปลูบหัวหมา แล้วเปิดประตูรั้วพาเดินออกไปหน้าบ้าน มองไปทางถนนใหญ่แล้วบ่น “นายแกทำไมไม่มาเสียทีนะ” ซีเซ็กฉ่ายกระโดดตาม ถ่านหุงข้าวก็ยอมไม่ได้อีก กระโดดตามลงไปเคล้าเคลียด้วยการถูไถขาเจ้านายไปมา ซีเซ็กฉ่ายลืมไปแล้วว่าได้ทำ การสมานฉันท์กับศัตรูไปหยก ๆ จึงกระโจนไล่โดยพลัน เพื่อนบ้านจึงได้ยินเสียงของน้องนวลดัง
ก้องไปทั้งซอย
“ไอ้บ้า ไอ้ซีเซ็กฉ่าย จะบ้าเหรอก ไอ้หมาบ้า”
ถ่านหุงข้าวตบหน้าซีเซ็กฉ่ายไปหนึ่งที แล้วจึงกระโดดกลับไปนั่งบนขอบรั้วตามเดิม
ซีเซ็กฉ่ายมองตามด้วยความแค้น
พอพี่เครากลับมา น้องนวลก็ฟ้องฉอด ๆว่า ซีเซ็กฉ่ายนิสัยไม่ดี ไล่ถ่านหุงข้าวอีกแล้ว พี่เคราก็เลยเตะซีเซ็กฉ่ายเบา ๆไปสองที ซีเซ็กฉ่ายร้องเง้ง ๆด้วยความโกรธ
ตกดึกของคืนนั้น ซีเซ็กฉ่ายเจอเจ้าตัวการที่ทำให้ต้องสร้างสมานฉันท์กับถ่านหุงข้าวอีกครั้งหนึ่ง มันย้ายที่มาไกลพอสมควร และกำลังเดินโย่งเย่ง ๆจะไปยังท่อระบายน้ำ ซีเซ็กฉ่ายกำลังวิ่งเล่น พอเห็นก็หยุดพรืด ร้อง “หึ ๆ”แล้วก็เริ่มเห่าแบบนักสำรวจ โดยการทำเสียงพรึ่ด ๆ ๆ ๆ
แล้วตามด้วยโฮ้ง ๆๆ ๆ เจ้าโย่งเย่งตัวนั้นไม่มีที่หลบก็เลยเดินต่อไป ซีเซ็กฉ่ายยิ่งกระหน่ำเห่า โฮ้ง ๆ ๆ ๆ
น้องนวลกับพี่เครานอนหลับอยู่บนเตียง ต่างพลิกตัวเพราะเสียงเห่าพร้อมกัน
“เฮ้อ..” พี่เคราร้องแล้วก็หลับต่อไป แต่น้องนวลไม่หลับ เธอลุกขึ้นขมีขมัน เปิดประตูห้องนอนลงบันไดมาชั้นล่าง บ่นพึมพัมว่า เดี๋ยวต้องตีให้ตาย ไอ้ซีเซ็กฉ่ายนี่ มันจะเห่าไปถึงไหน ไม่เป็นอันต้องหลับต้องนอนกันพอดี ไอ้หมาบ้า
พอเปิดประตูบ้านออกมาได้ น้องนวลก็ถือไม้อันยาวออกมา เจ้าถ่านหุงข้าวนอนอยู่ในบ้าน เห็นประตูบ้านเปิดก็ดีใจ รีบผลุดออกนอกประตูบ้านไปก่อนเจ้าของบ้าน พอเห็นหน้าเจ้าซีเซ็กฉ่ายที่มารอต้อนรับเจ้านาย ก็โก่งตัวรับ พร้อมถุยน้ำลายใส่เสียงดัง “ฟึ่ด” ซีเซ็กฉ่ายนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อตอนกลางวันสมานฉันท์กับเจ้าแมวจอมเจ้าเล่ห์นี้เรื่องอะไร จึงรีบวิ่งนำไปโดยพลัน น้องนวลวิ่งตาม กะว่าจะตีเจ้าซีเซ็กฉ่ายข้อหาทำให้นอนไม่หลับ แต่แล้วสามชีวิตก็ไปยืนเผชิญหน้ากับเจ้าโย่งเย่งพร้อมกัน มันกำลังพยายามจะลงไปในรูท่อน้ำทิ้งให้ได้ ทั้งที่รูมันเล็กกว่าตัว เสียงน้องนวลร้อง
“ปู...ปู้โธ่เอ๋ย..แกเห่าปูหรอกรึ”
ว่าแล้วน้องนวลก็เอื้อมมือไปจับปูนาตัวเล็ก ๆสีกระดำกระด่างขึ้นมา “นี่มันปู” ว่าแล้วเธอก็ยื่นมันไปตรงหน้าเจ้าซีเซ็กฉ่าย “นี่เขาเรียกปู..เห่าอยู่ได้ ไอ้โง่เอ๊ย..”
“ปู ๆ ๆ”
น้องนวลเดินท่อง ก่อนจะเดินไปหลังบ้านแล้วปล่อยปูออกไปทางท่อระบายน้ำ บอกกับปูอยู่ในใจว่า โชคดีนะแก ที่ฉันตื่นขึ้นมาเจอเสียก่อน ไม่งั้นละก็ แกต้องแหลกละเอียดแบบเจ้าเต่าแน่นอน
Thursday, May 3, 2007
โลกของเจ้าตัวเล็ก [5] มันชื่อถ่านหุงข้าว
เจ้าก้อนดำ ๆ นั้นมันเป็นลูกแมว หากพินิจพิจารณากันอย่างใกล้ชิดแล้ว ตามประสาคนธรรมดาทั่วไปก็คงบอกว่า “ขี้ริ้ว” แต่สำหรับพี่เครากับน้องนวลนั้น ต้องพูดว่า “อัปลักษณ์” เหตุที่เจ้าก้อนดำๆ ที่มาใหม่ดูอัปลักษณ์สำหรับคู่สามีภรรยา เพราะมันประกอบด้วยทุลักษณะสามประการคือ ประการที่หนึ่ง มันมีขนขยุกขยุยด้วยความสกปรกไปทั่วตัว บางตอนกะหร็อมกะแหร็มเหมือนถูกแทะ ประการที่สอง มันมีดวงตาเป็นสีเหลืองวาว แทนที่จะเป็นสีฟ้า แมวขนดำตาเหลือง น่าเกลียดน่ากลัวแค่ไหนก็ลองนึกเอาเองก็แล้วกัน ส่วนประการที่สามก็คือ หางมันสั้นประมาณครึ่งตัว แถมยังหงิกงออีกด้วย
“อะไรจะอัปลักษณ์ปานนั้น” พี่เคราว่า
น้องนวลแอบมองด้วยความสงสาร แล้วก็พูดให้กำลังใจ(ตัวเอง)“แต่มันดีนะ..ดูสิ..ดำสนิทเลย ไม่มีตรงไหนขาวแม้แต่จุดเดียว...แมวดำเขาก็ต้องอย่างนี้ละ”
“ไอ้ถ่าน..ไอ้ถ่านหุงข้าว” พี่เคราเรียก
ทันทีที่พี่เคราส่งเสียงเรียก เจ้าก้อนดำ ๆนั้นรีบเดินเข้ามาหาพลางร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง “แง้ว ๆ ๆ ๆ” ทำท่าจะเอาลำตัวเข้ามาถูขาของพี่เครา
“เฮ้ย..มันพูดได้” พี่เคราว่า ทำเสียงเอะอะ เขาไม่ค่อยชอบแมวเท่าไรนัก
“ไอ้ถ่าน ไอ้อ่านหุงข้าว..” น้องนวลพูดตาม แมวดำก็เปลี่ยนคนถูไถมาเป็นฝ่ายหญิงบ้าง “แง้ว ๆ ๆๆ”
“ไม่เอ๊า..” น้องนวลร้อง “สกปรก”
ในที่สุด น้องนวลก็ขอร้องให้พี่เคราช่วยจับเจ้าแมวดำตัวกะลิดปิ๊ด(ภาษาของน้องนวล) อาบน้ำ “เอาแชมพูของซีเซ็กฉ่ายมา..” ว่าแล้วน้องนวลก็เอาน้ำราดตัว แมวดำร้องแป๊วด้วยความตกใจ แต่พี่เคราจับหัวแน่น น้องนวลมองท่าจับของพี่เคราแล้วไม่สบายใจ “เบา ๆหน่อยก็ได้ พี่เครา เดี๋ยวมันหายใจไม่ออก” พี่เคราคลายมือ น้องนวลถูกตัวมันต่อ เจ้าถ่านหุงข้าวแยกเขี้ยวร้องแป๊ว ๆ เห็นเหงือกสีแดงแปร๊ดตัดกับฟันขาวแหลม พี่เครามองแล้วเปรยขึ้นว่า
“ข้อดีของมันนะ...เหงือกแดงฟันขาว”
“สุขภาพดี” น้องนวลว่า
“ใครว่า” พี่เคราทำตาระยิบระยับ “มันคงกินเลือดมาก..ฮ่า ๆ ๆ”ว่าแล้วแมวดำตัวกระจิ๋วหลิวที่เต็มไปด้วยฟองแชมพูก็ถูกยกขึ้นแล้วส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงหน้าของน้องนวล
“ไม่เอ๊า ๆ...อย่าเล่น” น้องนวลร้อง แชมพูกระเด็นไปทั่วห้องน้ำ บางหยดลอยออกไปนอกประตู “พี่เคร้า ๆ ๆ” เสียงน้องนวลแหลมสูง ทำเอาแม่ของน้องมอลลี่คอยาว บ่นกับน้องมอลลี่ว่า “เอ๊ะ...น้านวลเขาเป็นอะไรไปน่ะ..” น้องหนูมอลลี่มองหน้าแม่แล้วตอบด้วยลีลาท่วงทำนองเดียวกันว่า “สงสัยจะท้อง..” แม่น้องมอลลี่ก็เลยร้องกรี๊ด ๆด้วยความถูกใจ เสียงดังกว่าบ้านน้องนวลไปอีก
พี่เครากับน้องนวลอาบน้ำให้เจ้าถ่านหุงข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่าทางมันสบายตัวขึ้น น้องนวลเอาไดร์เป่าผมไล่เป่า แมวก็วิ่งหนีเสียงดังของไดร์ วุ่นวายไปทั้งบ้าน ทำให้เจ้าซีเซ็กฉ่ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก มันเอาแต่ตะกายประตูบ้านเสียงดังกึง ๆ ๆ ร้องสียงดังงี้ด ๆ ๆ น้อยอกน้อยใจที่เจ้านายเอาแมวดำที่แสนน่าเกลียดมาเลี้ยง
“ไอ้บ้า..ประตูเป็นรอยหมดแล้ว” น้องนวลยื่นหน้าไปดุทางช่องกระจก เจ้าซีเซ็กฉ่ายก็ยิ่งตะกาย
“ต้องให้มันรู้จักกันก่อน” พี่เคราว่า
น้องนวลดีใจ “ตกลงเราเลี้ยงมันเลยนะ..” ภรรยายิ้มประจบ
สามีหัวเราะ ไม่ตอบคำขอเลี้ยง แต่กลับเอ่ยต่อประโยคเก่าของตัวเอง “ต้องให้มันรู้จักกันก่อน โดยการให้ซีเซกฉ่ายกินแมว แทนยอพระกลิ่น..”
“พูดอะไรน่ะ” น้องนวลว่า “เลอะเทอะ”
น้องนวลพูดไม่ทันจบ พี่เคราซึ่งอึดอัดเต็มทีกับการต้องอยู่ในบ้าน ก็เปิดประตูผาง เจ้าถ่านหุงข้าวที่รอจังหวะอยู่แล้วก็พุ่งปรู๊ดออกจากบ้านไป เท่านั้นแหละ ความโกลาหลอลหม่านก็บังเกิดขึ้นในพริบตา เพราะซีเซ็กฉ่ายรอเวลานี้อยู่แล้ว เจ้าถ่านหุงข้าวไม่ใช่แมวธรรมดา หากมันเป็นแมวที่โชกโชนมาจากสนามชีวิตแล้ว ดังนั้น แค่เจ้าซีเซ็กฉ่ายตัวเดียวจะไปครนาอะไร ว่าแล้วมันก็ถีบกระป๋อง กะละมัง กระถางอะไรทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนั้นตกลงมาเป็นแถว มีเสียงดังโคร่ม ๆ
เพล้ง ๆ ตามด้วยเสียงแง้ว ๆ ฮ่ง ๆ โฮ้ง ๆ ฮึ่ม ๆ แฟ่ ๆ และสุดท้ายที่ทุกคนได้ยินคือเสียง
“เอ๊งงงง ๆๆ” ของเจ้าซีเซ็กฉ่ายที่ดังยาวนานเป็นพิเศษ เจ้าถ่านหุงข้าวขึ้นไปนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนรั้วกำแพงระหว่างบ้านของแม่หนูมอลลี่กับบ้านของพี่เครา ท่าทางไม่เหนื่อยหอบอะไร ตามองมาที่เจ้าซีเซ็กฉ่ายที่วิ่งพล่านอยู่บริเวณลานจอดรถอย่างสะใจ
ซีเซ็กฉ่ายซึ่งเจ็บปวดลูกตาอยู่ยิบ ๆ กระโดดตะกายรั้ว ยกขาหน้ายกขาหลังยกตัวยกก้น ยกเท่าไร ๆก็ไม่ถึงไอ้เจ้าก้อนดำ ๆ ที่มีฤทธิ์เดชอันทรงพลังสักที มีเสียงเจ้านายสองคนร้อง “เฮ้ย ๆ”สลับกับ “วี้ดๆ ว้าย ๆ”
พายุในบ้านสงบลงเรียบร้อยเมื่อพี่เคราเดินออกมาจากบ้าน ดุเจ้าซีเซ็กฉ่ายที่ทำท่าเจ็บตาอ้อนแล้วอ้อนอีกแต่ไม่สำเร็จ
“อย่ายุ่งนะ”
ซีเซ็กฉ่ายเห็นเจ้านายเอาจริง ก็เดินไปนอน(แกล้งทำเป็น) เรียบร้อยอยู่ตรงชิงช้า แต่ก็ไม่วายเหลือบตามาทางน้องนวลแล้วร้อง “งี้ด ๆ “เป็นการฟ้อง พี่เคราเดินไปที่ริมรั้ว แล้วพูดขึ้นว่า
“ร้ายนักนะแก..ไอ้ถ่าน”
น้องนวลหัวเราะ “พี่รู้ได้ไงว่า เราจะเรียกมันว่าไอ้ถ่านหรืออีถ่าน”
พี่เคราหันมาหัวเราะ “ซ่าแบบนี้ไอ้ถ่านแน่”
ว่าแล้วพี่เคราก็คว้าเจ้าก้อนดำ ๆนั้นมาอย่างรวดเร็ว ยกก้นขึ้นดู ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นอะไร ซีเซ็กฉ่ายเห็นเจ้านายจับแมวขึ้นมา จิตใจที่จวนสงบก็กลับระส่ำระสายขึ้นมาใหม่ รีบแล่นลุกออกมาโดยเร็ว แต่ยังไม่ทันถึงก็ได้ยินประกาศิตพี่เคราว่า “ซีเซ็กฉ่าย ไม่ต้องยุ่ง” ซีเซ็กฉ่ายก็เลยกลับไปนอนที่เดิม น้องนวลถาม
“ตกลงตัวผู้หรือตัวเมีย ฮะพี่”
“ตัวผู้ไง” พี่เคราตอบ เขามองดูส่วนที่จะแสดงความเป็นเพศผู้ของเจ้าถ่านหุงข้าวอย่างเร็ว ๆ พอเห็นเป็นก้อน ๆ เขาก็มั่นใจ “แหงละ...นิสัยก้าวร้าวด้วย”
เขาไม่พูดไม่ทันจบ ถ่านหุงข้าวก็ร้องสวนขึ้น “แง้ว”
“นั่นไง....มันอกว่ามันตัวผู้”
สองสามีภรรยาหัวเราะกันใหญ่ “แมวพูดได้...ไอ้เจ้าถ่านพูดได้”
ความช่างต่อล้อต่อเถียงของเจ้าถ่านช่วยให้มันได้มีบ้านอยู่ เพราะนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่หนูมอลลี่ก็ได้ยินแต่เสียงสองสามีภรรยาพูดถึงแต่ถ่านหุงข้าว ทำให้เพื่อนบ้านแม่ลูกเล็กสงสัยเป็นอันมากว่า ทำไมสองคนนี้ไม่ซื้อเตาแก๊สเสียที ใช้แต่ถ่านหุงข้าวอยู่ได้
บ้านนี้มีอะไรแปลก ๆ แม่หนูมอลลี่คิด หมาก็ร้องเป็นแมว แล้วยังจะใช้ถ่านหุงข้าวอีก เฮ้อ...
Thursday, April 26, 2007
Thursday, April 12, 2007
พักอ่านเรื่องก่อนค่ะ มาดูรูปในงานหนังสือกันเถอะ
Saturday, February 17, 2007
โลกของเจ้าตัวเล็ก (4) ดำอะไรดี
โลกของเจ้าตัวเล็ก (4) ดำอะไรดี
ชมัยภร แสงกระจ่าง (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย)
น้องนวลกำลังนั่งที่เก้าอี้สนาม มองดูพี่เครานั่งตัดหญ้าแกร๊บ ๆ พอตัดได้สักสิบแกร๊บ พี่เคราก็เดินมายกแก้วเบียร์ขึ้นกรึ๊บ ๆ น้องนวลก็จะร้องว่า “พอแล้ว ๆ” พอพี่เคราเผลอ น้องนวลก็ขโมยกรึ๊บ ๆบ้าง บางทีก็จะมีเสียงพี่เคราร้อง “เฮ่ย ๆ ขโมย ๆๆ” สองสามีภรรยาหยอกล้อกันไปมา จนปลายหญ้าเกือบหมดสนามเล็ก ๆ (เล็กจริง ๆ นะจะบอกให้)
ทันใดนั้น น้องนวลก็นึกขึ้นได้
“ไอ้ตัวแสบหายไปไหน”
พอมองไปที่บ้าน ได้ยินเสียงอะไรดังกุกกัก น้องนวลก็พบคำตอบ พี่เคราลืมปิดประตูครัว และแน่นอน เจ้าตัวแสบที่ว่าเข้าไปในครัวได้ อะไรจะเกิดขึ้น
“ตายแล้ว..”
น้องนวลวิ่งเข้าไปในครัว ภาพที่เห็นคือเจ้าซีเซ็กฉ่ายกำลังพยายามตะกายยืดตัวขึ้นสูงสุดเพื่อเอาปากคาบชามอาหารที่ยังไม่ได้ปรุงเป็นกับข้าวลงมาจากเคาน์เตอร์ในครัวให้ได้ น้องนวลร้องเสียงเย็นเรียบแต่ดัง
“ซีเซ็กฉ่าย..”
ลูกหมาวัยรุ่นหันมามอง ปากยังค้างอยู่บนเคาน์เตอร์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเจ้านายผู้หญิงแบบกลัว ๆนิด ๆ แต่ไม่กลัวจริง เพราะไม่ยอมเอาขาลง พอเห็นว่าช่องว่างระหว่างเสียงออกจะเว้นยาว เจ้าตัวแสบก็หันไปทำท่าจะเพียรพยายามต่อ
“เฮ้ย..”น้องนวลร้อง “ยังไม่เลิกอีก ไอ้นี่”
น้องนวลเงื้อมือกระทืบเท้าเข้าไปใกล้ ๆ ซีเซ็กฉ่ายจึงหดขาและลดตัวลงอย่างเสียดาย หันมากระดิกหางงิ้ด ๆ มือของน้องนวลฟาดปุ้บลงบนตัวของเจ้าหมา มีเสียงร้อง “งี๊ก” ยาว ๆ หนึ่งที นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองแบบตัดพ้อต่อว่า
“ยังจะมามองอีก รีบออกไปสิ..”น้องนวลว่า
“มันขโมยอะไร” พี่เคราตามมายืนที่ประตูครัวส่งเสียงถาม
น้องนวลมองจานบนเคาน์เตอร์ที่มีรอยแหว่ง ๆ มองพื้นที่มีซากเศษอาหารหล่นอยู่ มองถังขยะเล็กที่ล้มระเนระนาด ถุงพลาสติกสองสามใบถูกขยุ้มหล่นอยู่
“ไม่รู้” น้องนวลตอบ ทั้งที่รู้ว่ากุ้งในชามได้หายไปหมดเกลี้ยงแล้ว เธอรู้ดีว่าขืนตอบความจริงไป เจ้าซีเซ็กฉ่ายอาจถูกตีรุนแรง เพราะน้ำเสียงของพี่เคราวันนี้ออกจะซีเรียสกว่าทุกวัน สงสารซีเซ็กฉ่าย
พี่เคราถือไม้เดินเข้าไปใกล้ เจ้าซีเซ็กฉ่ายกระโจนพรวดเดียวมุดขาพี่เคราออกนอกบ้านไป พี่เคราวิ่งตาม ซีเซ็กฉ่ายใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามรั้วเตี้ย ๆออกไปได้ในพริบตา
“อ้าว..” พี่เครากับน้องนวลร้องพร้อมกัน
“มันข้ามรั้วได้นี่” น้องนวลบ่นพึมพำ
พี่เคราส่ายหัว กลับไปนั่งกรึ๊บ ๆเบียร์ต่อ แล้วสองหนุ่มสาวก็ลืมหมาไปพักใหญ่ น้องนวลแอบเอากุ้งในตู้เย็นออกมาใหม่ ทำกุ้งแช่น้ำปลา ทำยำปลาทูน่าแล้วก็ออกมานั่งที่เก้าอี้สนามที่มีสีไม่เหมือนกันแม้สักตัว เพราะฝีมือของพี่เครา สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีน้ำเงิน คุยกันกระหนุงกระหนิง นาน ๆจะมีเสียงแม่น้องมอลลี่ดังข้ามรั้วบ้านมาผสมโรง “น้องนวล วันนี้ทำอะไรกิน” น้องนวลตอบว่า “ยังไม่รู้เลยค่ะ” ส่วนพี่เคราทำปากขมุบขมิบ “จะมาช่วยทำหรือไง” น้องนวลขมึงตา พี่เคราหัวเราะ
ใกล้ค่ำแล้ว ตอนที่สองสามีภรรยาได้ยินเสียงของซีเซ็กฉ่ายอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก
“ฮ็อก ๆ ๆ ๆ” เสียงเห่าของซีเซ็กฉ่ายดังแบบนี้ แต่มีเสียงของหมาอื่นเห่าประสานด้วย “ฮ้ง ๆ ๆ “ “แอ้ก ๆ”
“บ้านช่องไม่รู้จักกลับ” น้องนวลถือไม้เรียวอันที่ตีกันอยู่เป็นประจำเดินออกไปนอกบ้าน พี่เครามองตาม
สุดซอยเป็นวงกลมกลับรถ ยังไม่มีบ้านคน มีจุดดำ ๆจุดหนึ่ง ล้อมไว้ด้วยหมาสามตัว
“อะไรน่ะ” น้องนวลร้อง เขม้นมอง หมายังรุมเห่า และเจ้าจุดดำยังนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว น้องนวลเริ่มกลัว “งูหรือเปล่า” เธอตะโกนเรียกสามี “พี่เคราออกมานี่หน่อย”
ภาพที่สองสามีภรรยาเห็นนั้น เหลือเชื่อจริง ๆ แมวสีดำตัวกระจิดริดยืนประชิดกำแพงหมู่บ้าน หมาสามตัวล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม มันตัวกระจิดริดแต่คงไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ไม่มีทางเลือก มันโก่งตัวโค้งสูงเต็มที่ มองดูแล้วคล้ายกับวงโค้งเล็ก ๆ ขนพองกลมไปทั้งตัว ปากเป็นสีแดง เห็นเขี้ยวสีขาว มีเสียงออกมาจากปากดังแฟ่ ๆ ไม่น่ากลัวสำหรับซีเซ็กฉ่ายและหมาตัวอื่น ๆ แต่เป็นของแปลกพิลึกอยู่
พี่เคราเดินตามออกมา หมาสองตัวที่ไม่ใช่ซีเซ็กฉ่ายขยับตัว กลัวคนแปลกหน้า ในขณะที่เจ้าซีเซ็กฉ่ายมีกำลังใจ ขนคอตั้งขึ้น ส่งเสียงคำรามหนักแน่นขึ้น แม้จะยังเป็นเสียงเด็ก ๆก็ตาม
“ช่วยมันหน่อย ๆ “น้องนวลร้อง
พี่เคราไม่ทำอะไร เดินลุยเข้าไปกลางวง หมาแตกกระจาย ซีเซ็กฉ่ายทำท่าจะผสมโรงเดินตาม แต่ถูกน้องนวลเรียกไว้ “ซีเซ็กฉ่ายมานี่..” มันก็เลยลังเล
ลูกแมวไม่วิ่งหนี หากมองดูพี่เคราด้วยท่าเดิม เพียงแต่ไม่แยกเขี้ยวมากเท่าเดิม แต่ก็ยังค้าง ๆ อยู่ พี่เคราก้มลงหยิบก้อนดำ ๆเล็ก ๆนั้นขึ้นมา ส่งให้น้องนวล ไม่พูดไม่จาแล้วเดินกลับบ้าน น้องนวลรับก้อนดำนั้นมาไว้ในมือด้วยความสงสาร แล้วออกเดินกลับบ้าน ซีเซ็กฉ่ายทุรนทุรายวิ่งตามด้วยความตื่นเต้น น้องนวลต้องเรียกไว้ “เบา ๆหน่อย คุณพี่ซีเซ็กฉ่าย”
ก้อนดำ ๆ นั้นถูกวางลงบนโต๊ะสนาม
“ทำไงดี พี่เครา” น้องนวลถาม ซีเซ็กฉ่ายร้องตอบ “งี้ด ๆ ๆ”
“ไม่รู้สิ...”พี่เคราว่า จิบเบียร์กรึ๊บ ๆ
เจ้าก้อนดำขยุกขยุยมองหน้าคนอุ้มมา แล้วส่งเสียงร้อง “แง้ด ๆ ๆ ๆ”
เสียงนั้นดังมากจนคนที่ฟังอยู่อดขำไม่ได้ มันเป็นเสียงร้องราวกับต่อว่าความชักช้าของคน “แง้ด ๆ “ ไม่มีความประหวั่นพรั่นพรึงต่อคนใหม่หรือสถานที่ใหม่เลยแม้แต่น้อย แถมยังทำท่าถูไถมือน้องนวลไปมา
น้องนวลหันไปมองซีเซ็กฉ่ายอย่างชั่งใจ สำหรับหมาที่กัดทุกอย่างแม้แต่เต่าเช่นนี้ แมวตัวเล็ก ๆจะรอดไปได้อย่างไร
“ทำไงดี” เสียงน้องนวลเริ่มอ่อนลง ไม่เป็นการขอคำปรึกษาแล้ว แต่เป็นการรำพึง “เลี้ยงไว้ก่อนนะ...อีกสองสามวันค่อยคิด”
พูดจบ น้องนวลก็ยกเจ้าก้อนดำ ๆนั้นเข้าไปในบ้าน มีเสียงพี่เคราตะโกนตาม “แมวหัน ๆ”
แม่น้องมอลลี่แปลกใจมากที่สองสามวันมานี้ได้ยินเสียงเจ้าซีเซ็กฉ่ายร้องเหมือนแมว
------------------
ชมัยภร แสงกระจ่าง (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย)
น้องนวลกำลังนั่งที่เก้าอี้สนาม มองดูพี่เครานั่งตัดหญ้าแกร๊บ ๆ พอตัดได้สักสิบแกร๊บ พี่เคราก็เดินมายกแก้วเบียร์ขึ้นกรึ๊บ ๆ น้องนวลก็จะร้องว่า “พอแล้ว ๆ” พอพี่เคราเผลอ น้องนวลก็ขโมยกรึ๊บ ๆบ้าง บางทีก็จะมีเสียงพี่เคราร้อง “เฮ่ย ๆ ขโมย ๆๆ” สองสามีภรรยาหยอกล้อกันไปมา จนปลายหญ้าเกือบหมดสนามเล็ก ๆ (เล็กจริง ๆ นะจะบอกให้)
ทันใดนั้น น้องนวลก็นึกขึ้นได้
“ไอ้ตัวแสบหายไปไหน”
พอมองไปที่บ้าน ได้ยินเสียงอะไรดังกุกกัก น้องนวลก็พบคำตอบ พี่เคราลืมปิดประตูครัว และแน่นอน เจ้าตัวแสบที่ว่าเข้าไปในครัวได้ อะไรจะเกิดขึ้น
“ตายแล้ว..”
น้องนวลวิ่งเข้าไปในครัว ภาพที่เห็นคือเจ้าซีเซ็กฉ่ายกำลังพยายามตะกายยืดตัวขึ้นสูงสุดเพื่อเอาปากคาบชามอาหารที่ยังไม่ได้ปรุงเป็นกับข้าวลงมาจากเคาน์เตอร์ในครัวให้ได้ น้องนวลร้องเสียงเย็นเรียบแต่ดัง
“ซีเซ็กฉ่าย..”
ลูกหมาวัยรุ่นหันมามอง ปากยังค้างอยู่บนเคาน์เตอร์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเจ้านายผู้หญิงแบบกลัว ๆนิด ๆ แต่ไม่กลัวจริง เพราะไม่ยอมเอาขาลง พอเห็นว่าช่องว่างระหว่างเสียงออกจะเว้นยาว เจ้าตัวแสบก็หันไปทำท่าจะเพียรพยายามต่อ
“เฮ้ย..”น้องนวลร้อง “ยังไม่เลิกอีก ไอ้นี่”
น้องนวลเงื้อมือกระทืบเท้าเข้าไปใกล้ ๆ ซีเซ็กฉ่ายจึงหดขาและลดตัวลงอย่างเสียดาย หันมากระดิกหางงิ้ด ๆ มือของน้องนวลฟาดปุ้บลงบนตัวของเจ้าหมา มีเสียงร้อง “งี๊ก” ยาว ๆ หนึ่งที นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองแบบตัดพ้อต่อว่า
“ยังจะมามองอีก รีบออกไปสิ..”น้องนวลว่า
“มันขโมยอะไร” พี่เคราตามมายืนที่ประตูครัวส่งเสียงถาม
น้องนวลมองจานบนเคาน์เตอร์ที่มีรอยแหว่ง ๆ มองพื้นที่มีซากเศษอาหารหล่นอยู่ มองถังขยะเล็กที่ล้มระเนระนาด ถุงพลาสติกสองสามใบถูกขยุ้มหล่นอยู่
“ไม่รู้” น้องนวลตอบ ทั้งที่รู้ว่ากุ้งในชามได้หายไปหมดเกลี้ยงแล้ว เธอรู้ดีว่าขืนตอบความจริงไป เจ้าซีเซ็กฉ่ายอาจถูกตีรุนแรง เพราะน้ำเสียงของพี่เคราวันนี้ออกจะซีเรียสกว่าทุกวัน สงสารซีเซ็กฉ่าย
พี่เคราถือไม้เดินเข้าไปใกล้ เจ้าซีเซ็กฉ่ายกระโจนพรวดเดียวมุดขาพี่เคราออกนอกบ้านไป พี่เคราวิ่งตาม ซีเซ็กฉ่ายใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามรั้วเตี้ย ๆออกไปได้ในพริบตา
“อ้าว..” พี่เครากับน้องนวลร้องพร้อมกัน
“มันข้ามรั้วได้นี่” น้องนวลบ่นพึมพำ
พี่เคราส่ายหัว กลับไปนั่งกรึ๊บ ๆเบียร์ต่อ แล้วสองหนุ่มสาวก็ลืมหมาไปพักใหญ่ น้องนวลแอบเอากุ้งในตู้เย็นออกมาใหม่ ทำกุ้งแช่น้ำปลา ทำยำปลาทูน่าแล้วก็ออกมานั่งที่เก้าอี้สนามที่มีสีไม่เหมือนกันแม้สักตัว เพราะฝีมือของพี่เครา สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีน้ำเงิน คุยกันกระหนุงกระหนิง นาน ๆจะมีเสียงแม่น้องมอลลี่ดังข้ามรั้วบ้านมาผสมโรง “น้องนวล วันนี้ทำอะไรกิน” น้องนวลตอบว่า “ยังไม่รู้เลยค่ะ” ส่วนพี่เคราทำปากขมุบขมิบ “จะมาช่วยทำหรือไง” น้องนวลขมึงตา พี่เคราหัวเราะ
ใกล้ค่ำแล้ว ตอนที่สองสามีภรรยาได้ยินเสียงของซีเซ็กฉ่ายอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก
“ฮ็อก ๆ ๆ ๆ” เสียงเห่าของซีเซ็กฉ่ายดังแบบนี้ แต่มีเสียงของหมาอื่นเห่าประสานด้วย “ฮ้ง ๆ ๆ “ “แอ้ก ๆ”
“บ้านช่องไม่รู้จักกลับ” น้องนวลถือไม้เรียวอันที่ตีกันอยู่เป็นประจำเดินออกไปนอกบ้าน พี่เครามองตาม
สุดซอยเป็นวงกลมกลับรถ ยังไม่มีบ้านคน มีจุดดำ ๆจุดหนึ่ง ล้อมไว้ด้วยหมาสามตัว
“อะไรน่ะ” น้องนวลร้อง เขม้นมอง หมายังรุมเห่า และเจ้าจุดดำยังนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว น้องนวลเริ่มกลัว “งูหรือเปล่า” เธอตะโกนเรียกสามี “พี่เคราออกมานี่หน่อย”
ภาพที่สองสามีภรรยาเห็นนั้น เหลือเชื่อจริง ๆ แมวสีดำตัวกระจิดริดยืนประชิดกำแพงหมู่บ้าน หมาสามตัวล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม มันตัวกระจิดริดแต่คงไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ไม่มีทางเลือก มันโก่งตัวโค้งสูงเต็มที่ มองดูแล้วคล้ายกับวงโค้งเล็ก ๆ ขนพองกลมไปทั้งตัว ปากเป็นสีแดง เห็นเขี้ยวสีขาว มีเสียงออกมาจากปากดังแฟ่ ๆ ไม่น่ากลัวสำหรับซีเซ็กฉ่ายและหมาตัวอื่น ๆ แต่เป็นของแปลกพิลึกอยู่
พี่เคราเดินตามออกมา หมาสองตัวที่ไม่ใช่ซีเซ็กฉ่ายขยับตัว กลัวคนแปลกหน้า ในขณะที่เจ้าซีเซ็กฉ่ายมีกำลังใจ ขนคอตั้งขึ้น ส่งเสียงคำรามหนักแน่นขึ้น แม้จะยังเป็นเสียงเด็ก ๆก็ตาม
“ช่วยมันหน่อย ๆ “น้องนวลร้อง
พี่เคราไม่ทำอะไร เดินลุยเข้าไปกลางวง หมาแตกกระจาย ซีเซ็กฉ่ายทำท่าจะผสมโรงเดินตาม แต่ถูกน้องนวลเรียกไว้ “ซีเซ็กฉ่ายมานี่..” มันก็เลยลังเล
ลูกแมวไม่วิ่งหนี หากมองดูพี่เคราด้วยท่าเดิม เพียงแต่ไม่แยกเขี้ยวมากเท่าเดิม แต่ก็ยังค้าง ๆ อยู่ พี่เคราก้มลงหยิบก้อนดำ ๆเล็ก ๆนั้นขึ้นมา ส่งให้น้องนวล ไม่พูดไม่จาแล้วเดินกลับบ้าน น้องนวลรับก้อนดำนั้นมาไว้ในมือด้วยความสงสาร แล้วออกเดินกลับบ้าน ซีเซ็กฉ่ายทุรนทุรายวิ่งตามด้วยความตื่นเต้น น้องนวลต้องเรียกไว้ “เบา ๆหน่อย คุณพี่ซีเซ็กฉ่าย”
ก้อนดำ ๆ นั้นถูกวางลงบนโต๊ะสนาม
“ทำไงดี พี่เครา” น้องนวลถาม ซีเซ็กฉ่ายร้องตอบ “งี้ด ๆ ๆ”
“ไม่รู้สิ...”พี่เคราว่า จิบเบียร์กรึ๊บ ๆ
เจ้าก้อนดำขยุกขยุยมองหน้าคนอุ้มมา แล้วส่งเสียงร้อง “แง้ด ๆ ๆ ๆ”
เสียงนั้นดังมากจนคนที่ฟังอยู่อดขำไม่ได้ มันเป็นเสียงร้องราวกับต่อว่าความชักช้าของคน “แง้ด ๆ “ ไม่มีความประหวั่นพรั่นพรึงต่อคนใหม่หรือสถานที่ใหม่เลยแม้แต่น้อย แถมยังทำท่าถูไถมือน้องนวลไปมา
น้องนวลหันไปมองซีเซ็กฉ่ายอย่างชั่งใจ สำหรับหมาที่กัดทุกอย่างแม้แต่เต่าเช่นนี้ แมวตัวเล็ก ๆจะรอดไปได้อย่างไร
“ทำไงดี” เสียงน้องนวลเริ่มอ่อนลง ไม่เป็นการขอคำปรึกษาแล้ว แต่เป็นการรำพึง “เลี้ยงไว้ก่อนนะ...อีกสองสามวันค่อยคิด”
พูดจบ น้องนวลก็ยกเจ้าก้อนดำ ๆนั้นเข้าไปในบ้าน มีเสียงพี่เคราตะโกนตาม “แมวหัน ๆ”
แม่น้องมอลลี่แปลกใจมากที่สองสามวันมานี้ได้ยินเสียงเจ้าซีเซ็กฉ่ายร้องเหมือนแมว
------------------
Tuesday, January 16, 2007
โลกของเจ้าตัวเล็ก (3) โศกนาฎกรรม-ธรรมดา
โลกของเจ้าตัวเล็ก (3) ชมัยภร แสงกระจ่าง
โศกนาฎกรรม-ธรรมดา
พี่เคราเรียกซีเซ็กฉ่ายว่า “ไอ้ปากยมบาล” เพราะผ่านไปได้แค่หนึ่งเดือนทุกอย่างในบ้านก็เริ่มย่อยสลายกลายเป็นชิ้นเป็นอัน ขาโต๊ะเริ่มมีรอยฟัน รองเท้าเริ่มพลัดพรากจากคู่ คู่หนังที่เผลอก็เป็นอันจบชีวิต ต้นไม้ต้องสลับสับเปลี่ยนขึ้นที่สูงหลายต้น ยกเว้นสนามหญ้าที่โยกย้ายไม่ได้และไม่เป็นเป้าเท่าไรนัก รวมทั้งราวตากผ้าราวล่างที่ต้องยกเลิกไปโดยปริยาย หลังจากซีเซ็กฉ่ายอยากนุ่ง “กุงเกงใน”
ทุกเช้าน้องนวลต้องเดินหารองเท้าแตะฟองน้ำเป็นประจำ จนในที่สุดพี่เคราก็ทำตะกร้าแขวนรองเท้าไว้หน้าบ้าน สูงประมาณเอว ห้อยต่องแต่ง แถมยังทำท่าชักรอกได้ ฝ่ายสามีสรุปเอาว่า จะชักรอกให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามความสูงของเจ้าซีเซ็กฉ่าย
“น่าเกลียด”ภรรยาว่า “รองเท้าอะไรมาห้อยต่องแต่ง ๆ”
แต่จะน่าเกลียดแค่ไหนก็เอาลงมาไว้ต่ำกว่านั้นไม่ได้ เพราะซีเซ็กฉ่ายคันปากจนสุดจะทน
สองสามีภรรยาจึงต้องเป็นคนมีระเบียบ มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง หยิบโน่นเก็บนี่เข้าไปไว้ในบ้านเสมอ จนบ้านเริ่มจะล้นๆ
วันศุกร์เย็นหนึ่ง เพื่อนรักสองคนตามมาจากจากธนาคารมาตั้งวงเหล้าที่บ้าน ทันทีที่รถจอด ซีเซ็กฉ่ายก็กระโดดโลดเต้นเป็นการใหญ่ ทำราวกับว่ารู้จักกันมาแต่ชาติไหน ๆ พี่เคราเขม่นมองด้วยความเจ็บใจ บ่นพึมพำอยู่ในคอว่า “หมาอะไรวะ โคตรรับแขก”
เพื่อนรักชื่อตั้ม ตัวดำปื๋อที่ไปไหนมาไหนหมาเห่า(ด้วยความกลัว)ทั่วหน้า ดีอกดีใจที่หมาบ้านเพื่อนออกอาการรู้จัก “เฮ้ย ๆมันรู้จักกูด้วย”
พี่เคราก็เลยยิ่งหมั่นไส้ อาฆาตแค้นซีเซ็กฉ่ายอยู่ในใจ ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อป๋อ เป็นคนไม่ชอบหมา มองเจ้าซีเซ็กฉ่ายด้วยความไม่ไว้ใจ บ่นแต่ว่า “เลี้ยงทำไมวะ น่ารำคาญ” ซีเซ็กฉ่ายจับได้ว่า คนชื่อป๋อไม่ชอบตัว จึงแอบคาบรองเท้าไปฉลองเป็นคนแรก น้องนวลซึ่งตั้งแต่ลงจากรถมาไม่ทำอะไรเลย นอกจากง่วนอยู่กับการทำกับแกล้ม มองเห็นซีเซ็กฉ่ายนอนเคี้ยวอะไรหงุบ ๆหงับ ๆอยู่ในกอปักษาสวรรค์ จึงตะโกนบอกกับพี่เครา กว่าพี่เคราจะได้ยิน กว่าจะหยุดคุย กว่าจะลุกขึ้น กว่าจะมาถึงจุดที่หมายได้ รองเท้าของป๋อก็มีรอยฟันเรียงเป็นแถว ทำให้ป๋ออารมณ์เสีย ซดเบียร์เร็วกว่าเดิม น้องนวลจึงสั่งให้ทุกคนเอารองเท้าไปใส่ตะกร้าชักรอกไว้ ตั้มหัวเราะตะกร้ารองเท้าที่ถูกชักสูงขึ้นจนสำลักเบียร์
เมื่อน้องนวลเอากับแกล้มมาเสิร์ฟ คนเริ่มเมาทั้งหลายก็ได้รับคำสั่งว่า ห้ามให้กระดูกหรือก้างแก่หมาเป็นอันขาด
“มันยังเด็ก เดี๋ยวลำไส้ทะลุ” น้องนวลทำเสียงขู่ แม่ของหนูมอลลี่ข้างบ้านแอบได้ยินประโยคนี้พอดี ก็ทำตาโตแอบฟังต่อไปเพราะเริ่มสงสัยว่าเด็กที่ไหนมานั่งกินเบียร์อยู่ในบ้านพี่เครากับน้องนวล
พอตกดึกซีเซ็กฉ่ายก็นอนเมาอยู่ข้าง ๆ วงเบียร์ เพราะพี่เคราแอบเอาเบียร์ให้หมากิน พอมันเดินโซเซก็เฮฮา น้องนวลห้ามแล้วห้ามอีก แต่ไม่เป็นผล ตกดึก คนสามคน แขกสองคนและพี่เคราเจ้าของบ้าน ก็ย้ายที่นอนจากโต๊ะสนามไปนอนในห้องรับแขก
น้องนวลเป็นคนเดียวที่ได้ขึ้นไปนอนชั้นบน เธอตื่นขึ้นมาก่อนใคร พอเดินลงบันไดมาถึงห้องรับแขก น้องนวลก็หัวร่อคิก เพราะคนที่นอนอยู่ที่ห้องรับแขกนั้นไม่ได้มีสามชีวิตเท่าที่คิด หากแถมเจ้าซีเซ็กฉ่ายเข้ามาด้วย น่าจะเป็นตั้มที่ยิ่งเมายิ่งปลื้มหมา พอเห็นน้องนวลเจ้าตัวแสบน้อยประจำบ้านก็ลุกขึ้นกระดิกหางดิ๊ก ๆ น้องนวลเกรงใจแขกที่นอนกันระเกะระกะ จึงค่อย ๆจับมันอุ้มออกไปทางประตูครัว แต่พอตกสายเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงก็ได้ค้นพบความจริงอันน่าสยดสยองว่า เจ้าซีเซ็กฉ่ายแอบแทะขาโต๊ะรับแขกแหว่งไปหลายเซ็น(ติเมตร) พอเพื่อน ๆ กลับไปแล้วพี่เคราก็ซ่อมขาโต๊ะรับแขกให้ภรรยา โดยการเอาสก็อตเทปสีเทามาพันไว้ทั้งสี่ขา ทั้งที่มีขาแหว่งขาเดียว แล้วยืนยันว่า
“โต๊ะมันใส่ถุงเท้า”
ของในบ้านทะยอยกันเข้าแถวมาให้ซีเซ็กฉ่าย ทั้งฟัดและทั้งเหวี่ยง หมาสูงขึ้นเรื่อย ๆ และของที่ตั้งวางทั้งหลายก็ต้องพลอยสูงตามไปด้วย ไม้เรียวยาว ๆ ถูกเสียบไว้ที่โน่นที่นี่ พี่เคราเอาไว้ตีทำโทษหมาเวลากัดต้นไม้ ซีเซ็กฉ่ายก็จำบ้างไม่จำบ้าง
วันหนึ่ง น้องนวลตื่นแต่เช้าเห็นใต้กอปักษาสวรรค์โหว่เป็นหลุมเบ้อเร่อ มีเจ้าซีเซ็กฉ่ายนอนตัวมอมอยู่ข้างหลุม
“ขุดทำไม” น้องนวลคว้าไม้เรียวอันที่ใกล้ที่สุดทำท่าเงื้อง่า ซีเซ็กฉ่ายนอนมองเฉย เพราะมันรู้ว่านายผู้หญิงไม่เคยตีจริงจัง “เดี๋ยวต้นไม้ฉันตายหรอก”
พอพี่เคราตื่น น้องนวลก็รีบฟ้อง พี่เคราออกไปกลบหลุม ทำโทษซีเซ็กฉ่ายด้วยพอได้ร้องเอ๋ง ๆ สักพักหนึ่ง ก็หิ้วอะไรสักอย่างเข้าบ้านมาโชว์ให้น้องนวลดู น้องนวลกำลังยืนทำกับข้าว พอหันมาเห็นอะไรต่องแต่ง ๆ ในมือสามีก็ร้อง
“กรี๊ดดดด......”
แม่ของหนูมอลลี่ข้างบ้านกำลังหั่นผัก ตกใจจนมีดหลุดจากมือ
“อื๋อยย...สงสัยทะเลาะกัน” เธอบ่นคนเดียว พลางทำคอยืดคอยาว แต่ภาพที่เห็นก็คือ พี่เคราเดินถืออะไรดำ ๆ ออกมาจากบ้าน หัวเราะหึ ๆ เพื่อนบ้านเกือบจะร้องกรี๊ดไปด้วย หากแต่เอามืออุดปากไว้ทัน พอดีพี่เคราหันมาสบตา ก็ได้ทีรีบถาม
“ตัวอะไรน่ะ”
พี่เครายกชูให้เห็นกระจะตา เพื่อนบ้านทำคอย่นเพราะมองไม่ออกหรอกว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่พอขยับจะอ้าปากถามต่อ ก็เห็นน้องนวลเดินตาช้ำแดงตามหลังออกมา เธอหันมาบอกแม่ของหนูมอลลี่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“น้าฝนค่ะ น้ำฝนหนึ่งน่ะ”
เพื่อนบ้านอ้าปากหวอ ไม่รู้ว่าน้ำฝนคืออะไร จะว่าเป็นหมาตัวไหนก็ไม่ใช่ทั้งสิ้น เพราะเจ้าตัวต้นเหตุก็ยังวิ่งอยู่เห็น ๆ จะว่าเป็นหมาตัวอื่นก็กระไรจะย่นย่อเหลือขนาดเล็กเท่ากำปั้น น้องนวลบ่นต่อ
“คิดดูนะคะ ซนจริง ๆ มันกัดเต่าจนกระดองแตกตาย ใครจะไปคิดคะว่ามันจะกัดกระดองเต่าแตก ไอ้หมาจอมโหด”
แม่ของหนูมอลลี่ก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่า น้ำฝนหนึ่งนั้นเป็นเต่า แต่รู้ช้าไปหน่อย ยังไม่ทันได้เชยชม น้ำฝนหนึ่งก็ตายไปเสียแล้ว
เพื่อนบ้านเกาะรั้วดูพี่เคราขุดหลุมฉึก ๆ มีน้องนวลเป็นคนหย่อนซากเต่าลงหลุม มีเสียงแผ่เมตตาอยู่แว่ว ๆ สัพเพ สัตตา อเวรา อัพยาปัชฌา สุขีอัตตานัง ปริหะรันตุ....สลับกับเสียงซีเซ็กฉ่ายร้องงี้ก ๆ เพราะพี่เคราตีสั่งสอน
โศกนาฎกรรม-ธรรมดา
พี่เคราเรียกซีเซ็กฉ่ายว่า “ไอ้ปากยมบาล” เพราะผ่านไปได้แค่หนึ่งเดือนทุกอย่างในบ้านก็เริ่มย่อยสลายกลายเป็นชิ้นเป็นอัน ขาโต๊ะเริ่มมีรอยฟัน รองเท้าเริ่มพลัดพรากจากคู่ คู่หนังที่เผลอก็เป็นอันจบชีวิต ต้นไม้ต้องสลับสับเปลี่ยนขึ้นที่สูงหลายต้น ยกเว้นสนามหญ้าที่โยกย้ายไม่ได้และไม่เป็นเป้าเท่าไรนัก รวมทั้งราวตากผ้าราวล่างที่ต้องยกเลิกไปโดยปริยาย หลังจากซีเซ็กฉ่ายอยากนุ่ง “กุงเกงใน”
ทุกเช้าน้องนวลต้องเดินหารองเท้าแตะฟองน้ำเป็นประจำ จนในที่สุดพี่เคราก็ทำตะกร้าแขวนรองเท้าไว้หน้าบ้าน สูงประมาณเอว ห้อยต่องแต่ง แถมยังทำท่าชักรอกได้ ฝ่ายสามีสรุปเอาว่า จะชักรอกให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามความสูงของเจ้าซีเซ็กฉ่าย
“น่าเกลียด”ภรรยาว่า “รองเท้าอะไรมาห้อยต่องแต่ง ๆ”
แต่จะน่าเกลียดแค่ไหนก็เอาลงมาไว้ต่ำกว่านั้นไม่ได้ เพราะซีเซ็กฉ่ายคันปากจนสุดจะทน
สองสามีภรรยาจึงต้องเป็นคนมีระเบียบ มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง หยิบโน่นเก็บนี่เข้าไปไว้ในบ้านเสมอ จนบ้านเริ่มจะล้นๆ
วันศุกร์เย็นหนึ่ง เพื่อนรักสองคนตามมาจากจากธนาคารมาตั้งวงเหล้าที่บ้าน ทันทีที่รถจอด ซีเซ็กฉ่ายก็กระโดดโลดเต้นเป็นการใหญ่ ทำราวกับว่ารู้จักกันมาแต่ชาติไหน ๆ พี่เคราเขม่นมองด้วยความเจ็บใจ บ่นพึมพำอยู่ในคอว่า “หมาอะไรวะ โคตรรับแขก”
เพื่อนรักชื่อตั้ม ตัวดำปื๋อที่ไปไหนมาไหนหมาเห่า(ด้วยความกลัว)ทั่วหน้า ดีอกดีใจที่หมาบ้านเพื่อนออกอาการรู้จัก “เฮ้ย ๆมันรู้จักกูด้วย”
พี่เคราก็เลยยิ่งหมั่นไส้ อาฆาตแค้นซีเซ็กฉ่ายอยู่ในใจ ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อป๋อ เป็นคนไม่ชอบหมา มองเจ้าซีเซ็กฉ่ายด้วยความไม่ไว้ใจ บ่นแต่ว่า “เลี้ยงทำไมวะ น่ารำคาญ” ซีเซ็กฉ่ายจับได้ว่า คนชื่อป๋อไม่ชอบตัว จึงแอบคาบรองเท้าไปฉลองเป็นคนแรก น้องนวลซึ่งตั้งแต่ลงจากรถมาไม่ทำอะไรเลย นอกจากง่วนอยู่กับการทำกับแกล้ม มองเห็นซีเซ็กฉ่ายนอนเคี้ยวอะไรหงุบ ๆหงับ ๆอยู่ในกอปักษาสวรรค์ จึงตะโกนบอกกับพี่เครา กว่าพี่เคราจะได้ยิน กว่าจะหยุดคุย กว่าจะลุกขึ้น กว่าจะมาถึงจุดที่หมายได้ รองเท้าของป๋อก็มีรอยฟันเรียงเป็นแถว ทำให้ป๋ออารมณ์เสีย ซดเบียร์เร็วกว่าเดิม น้องนวลจึงสั่งให้ทุกคนเอารองเท้าไปใส่ตะกร้าชักรอกไว้ ตั้มหัวเราะตะกร้ารองเท้าที่ถูกชักสูงขึ้นจนสำลักเบียร์
เมื่อน้องนวลเอากับแกล้มมาเสิร์ฟ คนเริ่มเมาทั้งหลายก็ได้รับคำสั่งว่า ห้ามให้กระดูกหรือก้างแก่หมาเป็นอันขาด
“มันยังเด็ก เดี๋ยวลำไส้ทะลุ” น้องนวลทำเสียงขู่ แม่ของหนูมอลลี่ข้างบ้านแอบได้ยินประโยคนี้พอดี ก็ทำตาโตแอบฟังต่อไปเพราะเริ่มสงสัยว่าเด็กที่ไหนมานั่งกินเบียร์อยู่ในบ้านพี่เครากับน้องนวล
พอตกดึกซีเซ็กฉ่ายก็นอนเมาอยู่ข้าง ๆ วงเบียร์ เพราะพี่เคราแอบเอาเบียร์ให้หมากิน พอมันเดินโซเซก็เฮฮา น้องนวลห้ามแล้วห้ามอีก แต่ไม่เป็นผล ตกดึก คนสามคน แขกสองคนและพี่เคราเจ้าของบ้าน ก็ย้ายที่นอนจากโต๊ะสนามไปนอนในห้องรับแขก
น้องนวลเป็นคนเดียวที่ได้ขึ้นไปนอนชั้นบน เธอตื่นขึ้นมาก่อนใคร พอเดินลงบันไดมาถึงห้องรับแขก น้องนวลก็หัวร่อคิก เพราะคนที่นอนอยู่ที่ห้องรับแขกนั้นไม่ได้มีสามชีวิตเท่าที่คิด หากแถมเจ้าซีเซ็กฉ่ายเข้ามาด้วย น่าจะเป็นตั้มที่ยิ่งเมายิ่งปลื้มหมา พอเห็นน้องนวลเจ้าตัวแสบน้อยประจำบ้านก็ลุกขึ้นกระดิกหางดิ๊ก ๆ น้องนวลเกรงใจแขกที่นอนกันระเกะระกะ จึงค่อย ๆจับมันอุ้มออกไปทางประตูครัว แต่พอตกสายเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงก็ได้ค้นพบความจริงอันน่าสยดสยองว่า เจ้าซีเซ็กฉ่ายแอบแทะขาโต๊ะรับแขกแหว่งไปหลายเซ็น(ติเมตร) พอเพื่อน ๆ กลับไปแล้วพี่เคราก็ซ่อมขาโต๊ะรับแขกให้ภรรยา โดยการเอาสก็อตเทปสีเทามาพันไว้ทั้งสี่ขา ทั้งที่มีขาแหว่งขาเดียว แล้วยืนยันว่า
“โต๊ะมันใส่ถุงเท้า”
ของในบ้านทะยอยกันเข้าแถวมาให้ซีเซ็กฉ่าย ทั้งฟัดและทั้งเหวี่ยง หมาสูงขึ้นเรื่อย ๆ และของที่ตั้งวางทั้งหลายก็ต้องพลอยสูงตามไปด้วย ไม้เรียวยาว ๆ ถูกเสียบไว้ที่โน่นที่นี่ พี่เคราเอาไว้ตีทำโทษหมาเวลากัดต้นไม้ ซีเซ็กฉ่ายก็จำบ้างไม่จำบ้าง
วันหนึ่ง น้องนวลตื่นแต่เช้าเห็นใต้กอปักษาสวรรค์โหว่เป็นหลุมเบ้อเร่อ มีเจ้าซีเซ็กฉ่ายนอนตัวมอมอยู่ข้างหลุม
“ขุดทำไม” น้องนวลคว้าไม้เรียวอันที่ใกล้ที่สุดทำท่าเงื้อง่า ซีเซ็กฉ่ายนอนมองเฉย เพราะมันรู้ว่านายผู้หญิงไม่เคยตีจริงจัง “เดี๋ยวต้นไม้ฉันตายหรอก”
พอพี่เคราตื่น น้องนวลก็รีบฟ้อง พี่เคราออกไปกลบหลุม ทำโทษซีเซ็กฉ่ายด้วยพอได้ร้องเอ๋ง ๆ สักพักหนึ่ง ก็หิ้วอะไรสักอย่างเข้าบ้านมาโชว์ให้น้องนวลดู น้องนวลกำลังยืนทำกับข้าว พอหันมาเห็นอะไรต่องแต่ง ๆ ในมือสามีก็ร้อง
“กรี๊ดดดด......”
แม่ของหนูมอลลี่ข้างบ้านกำลังหั่นผัก ตกใจจนมีดหลุดจากมือ
“อื๋อยย...สงสัยทะเลาะกัน” เธอบ่นคนเดียว พลางทำคอยืดคอยาว แต่ภาพที่เห็นก็คือ พี่เคราเดินถืออะไรดำ ๆ ออกมาจากบ้าน หัวเราะหึ ๆ เพื่อนบ้านเกือบจะร้องกรี๊ดไปด้วย หากแต่เอามืออุดปากไว้ทัน พอดีพี่เคราหันมาสบตา ก็ได้ทีรีบถาม
“ตัวอะไรน่ะ”
พี่เครายกชูให้เห็นกระจะตา เพื่อนบ้านทำคอย่นเพราะมองไม่ออกหรอกว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่พอขยับจะอ้าปากถามต่อ ก็เห็นน้องนวลเดินตาช้ำแดงตามหลังออกมา เธอหันมาบอกแม่ของหนูมอลลี่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“น้าฝนค่ะ น้ำฝนหนึ่งน่ะ”
เพื่อนบ้านอ้าปากหวอ ไม่รู้ว่าน้ำฝนคืออะไร จะว่าเป็นหมาตัวไหนก็ไม่ใช่ทั้งสิ้น เพราะเจ้าตัวต้นเหตุก็ยังวิ่งอยู่เห็น ๆ จะว่าเป็นหมาตัวอื่นก็กระไรจะย่นย่อเหลือขนาดเล็กเท่ากำปั้น น้องนวลบ่นต่อ
“คิดดูนะคะ ซนจริง ๆ มันกัดเต่าจนกระดองแตกตาย ใครจะไปคิดคะว่ามันจะกัดกระดองเต่าแตก ไอ้หมาจอมโหด”
แม่ของหนูมอลลี่ก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่า น้ำฝนหนึ่งนั้นเป็นเต่า แต่รู้ช้าไปหน่อย ยังไม่ทันได้เชยชม น้ำฝนหนึ่งก็ตายไปเสียแล้ว
เพื่อนบ้านเกาะรั้วดูพี่เคราขุดหลุมฉึก ๆ มีน้องนวลเป็นคนหย่อนซากเต่าลงหลุม มีเสียงแผ่เมตตาอยู่แว่ว ๆ สัพเพ สัตตา อเวรา อัพยาปัชฌา สุขีอัตตานัง ปริหะรันตุ....สลับกับเสียงซีเซ็กฉ่ายร้องงี้ก ๆ เพราะพี่เคราตีสั่งสอน
Subscribe to:
Posts (Atom)